Psalms (th)

1120 of 101 items

1046. พระคริสต์ทรงครองตำแหน่งด้วยความรุ่งโรจน์และเป็นเกียรติเพราะเขาต้องทนทุกข์ทรมาน(สดุดี 8: 5)

by christorg

ฮีบรู 2: 9, จอห์น 12: 16,23,27-28 พระเจ้าทรงสร้างพระคริสต์ให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เล็กน้อยและสวมมงกุฎให้เขาด้วยความรุ่งโรจน์และเกียรติยศ(สดุดี 8: 5) โดยการตายเพื่อช่วยเราพระเยซูทรงครองตำแหน่งด้วยความรุ่งโรจน์และเกียรติยศ(ฮีบรู 2: 9) พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อให้เราถวายเกียรติแด่พระนามของพระเจ้า(จอห์น 12:16, จอห์น 12:23, จอห์น 12: 27-28)

1047. พระคริสต์ทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้ฝ่าเท้าของเขา(สดุดี 8: 6)

by christorg

ฮีบรู 2: 7-8, มัทธิว 22:44, 1 โครินธ์ 15: 25-28, เอเฟซัส 1:22, 1 เปโตร 3:22 พระเจ้าทรงสร้างพระคริสต์ปกครองทุกสิ่งและวางทุกสิ่งที่เท้าของพระคริสต์(สดุดี 8: 6) พระเจ้าทรงส่งทุกสิ่งให้กับพระเยซูพระคริสต์(ฮีบรู 2: 7-8, เอเฟซัส 1:22) พระเจ้าบอกพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าให้นั่งอยู่ทางขวามือของพระเจ้าจนกว่าเขาจะวางศัตรูไว้ที่เท้าของพระคริสต์(มัทธิว 22:44) พระเยซูผู้ซึ่งลุกขึ้นจากความตายและขึ้นสู่สวรรค์นั่งอยู่ที่มือขวาของพระเจ้าและทูตสวรรค์เจ้าหน้าที่และอำนาจยอมจำนนต่อพระองค์(1 เปโตร 3:22) พระเยซูพระคริสต์จะครองราชย์จนกว่าศัตรูทั้งหมดจะถูกนำตัวไปภายใต้เท้าของเขา(1 โครินธ์ 15: 25-28)

1048. พระเจ้าและพระคริสต์ครองราชย์ตลอดไป(สดุดี 10:16)

by christorg

ลูกา 1: 31-33, จอห์น 12: 31-32, วิวรณ์ 11:15 ในพันธสัญญาเดิมผู้ประพันธ์สดุดีสารภาพว่าพระเจ้าเป็นกษัตริย์นิรันดร์(สดุดี 10:16) กษัตริย์นิรันดร์ที่จะประสบความสำเร็จในบัลลังก์ของเดวิดพยากรณ์ในพันธสัญญาเดิมมาถึงโลกนี้นั่นคือพระเยซู(ลูกา 1: 31-32) พระเยซูทรงตัดสินโลกด้วยการตายบนไม้กางเขน(จอห์น 12: 31-32) พระเจ้าและพระคริสต์ทรงปกครองโลกตลอดไป(วิวรณ์ 11:15)

1049 ทุกคนทำบาป(สดุดี 14: 2-3)

by christorg

อิสยาห์ 64: 6, เยเรมีย์ 2:13, โรม 3: 10-12,23, เอเฟซัส 2: 3 ในพันธสัญญาเดิมเดวิดสารภาพว่าทุกคนในโลกเป็นคนบาป(สดุดี 14: 2-3) ในพันธสัญญาเดิมแม้แต่อิสยาห์ก็สารภาพว่าทุกคนเป็นคนบาป(อิสยาห์ 64: 6) ทุกคนพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเองละทิ้งพระเจ้าผู้เป็นแหล่งชีวิต(เยเรมีย์ 2:13) ทุกคนทำบาปและขาดความรุ่งโรจน์ของพระเจ้า(โรม 3: 10-12, โรม 3:23, เอเฟซัส 2: 3)

1050. เราต้องการพระคริสต์ความรอดของอิสราเอลออกมาจากไซอัน(สดุดี 14: 7)

by christorg

โรม 11:26, อิสยาห์ 59:20 ในพันธสัญญาเดิมเดวิดหวังว่าพระคริสต์จะออกมาจากไซอันเพื่อช่วยอิสราเอล(สดุดี 14: 7) ในพันธสัญญาเดิมพระเจ้าตรัสว่าพระคริสต์ผู้ไถ่ของอิสราเอลจะมาที่ไซอัน(อิสยาห์ 59:20) เปาโลกล่าวว่าประเทศอิสราเอลจะได้รับการช่วยเหลือผ่านทางพระเยซูคริสต์ซึ่งมาจากไซอัน(โรม 11:26)

1051. ความสุขที่แท้จริงมาจากพระเจ้าและพระคริสต์(สดุดี 16: 2)

by christorg

สดุดี 16:11 กิจการ 2: 25-26 ในพันธสัญญาเดิมดาวิดสารภาพว่าไม่มีพรนอกเหนือจากพระเจ้า(สดุดี 16: 2, สดุดี 16:11) ปีเตอร์บอกว่าดาวิดสารภาพว่าเขาดีใจที่พระคริสต์อยู่กับเขาเสมอ(กิจการ 2: 25-26)

1052. เดวิดดูตัวอย่างการฟื้นคืนชีพของพระคริสต์(สดุดี 16:10)

by christorg

กิจการ 2: 25-32, กิจการ 13: 34-38 ในพันธสัญญาเดิมดาวิดรู้ว่าพระเจ้าจะฟื้นคืนชีพพระคริสต์(สดุดี 16:10) ปีเตอร์เบิกความว่าเดวิดพูดถึงการฟื้นคืนชีพของพระคริสต์ในพันธสัญญาเดิมและพระคริสต์ทรงเป็นพระเยซูที่ฟื้นคืนชีพ(กิจการ 2: 25-32) เปาโลยังเป็นพยานว่าดาวิดพูดถึงการฟื้นคืนชีพของพระคริสต์ในพันธสัญญาเดิมและพระคริสต์ทรงเป็นพระเยซูที่ฟื้นคืนชีพ(กิจการ 13: 34-38)

1053. เมื่อเราตื่นเราจะเห็นใบหน้าของพระคริสต์(สดุดี 17:15)

by christorg

2 โครินธ์ 3:18, 1 จอห์น 3: 2, วิวรณ์ 7: 16-17 ในพันธสัญญาเดิมเดวิดกล่าวว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมาหลังจากการทรมานทั้งคืนเขาจะเห็นใบหน้าของพระเจ้าและพอใจ(สดุดี 17:15) พวกเราก็จะได้เห็นใบหน้าของพระเยซูพระคริสต์และได้รับการยกย่องว่าเป็นพระคริสต์ในวันสุดท้าย(2 โครินธ์ 3:18, 1 ยอห์น 3: 2) เมื่อเราพบพระคริสต์อีกครั้งพระคริสต์จะนำเราไปสู่น้ำพุแห่งน้ำที่มีชีวิตและพระเจ้าจะเช็ดน้ำตาทั้งหมดของเรา(วิวรณ์ 17: 16-17)

1,054 พระเจ้าและพระคริสต์ทรงเป็นพลังของเรา(สดุดี 18: 1)

by christorg

อพยพ 15: 2, 1 โครินธ์ 1:24, โรม 1:16 ในพันธสัญญาเดิมดาวิดยกย่องพระเจ้าสำหรับการปลดปล่อยของพระองค์จากศัตรูทั้งหมดของเขาและสารภาพว่าพระเจ้าเป็นพลังของพระองค์(สดุดี 18: 1) ในพันธสัญญาเดิมโมเสสอพยพจากอียิปต์สารภาพว่าพระเจ้าเป็นพลังของเขา(อพยพ 15: 2) พระเยซูพระคริสต์ทรงเป็นพลังของพระเจ้า(1 โครินธ์ 1:24, โรม 1:16)

1055. พระคริสต์ผู้เป็นแตรแห่งความรอดของเรา (สดุดี 18: 2)

by christorg

ลูกา 1: 68-71 พระเจ้าคือพลังแห่งความรอด(สดุดี 18: 2) พระเจ้าทรงยกพระคริสต์ขึ้นมาพลังแห่งความรอดจากบ้านของดาวิดนั่นคือพระเยซู(ลูกา 1: 68-71, แมทธิว 1:16)